วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

5 คุณสมบัติ"เซ็งเป็ด"ที่มากับ new iPad


หลังจากที่ข่าวการเปิดตัว iPad รุ่นใหม่ (new iPad) ของ Apple เผยแพร่ออกไป ก็มีทั้งกระแสตอบรับ และปฏิเสธออกมาเต็มไปหมด โดยเฉพาะในฟากของความผิดหวังที่มีต่อคุณสมบัติใหม่ๆ ที่อาจจะดูน้อยเกินไป (จนไม่รู้จะเรียกอะไรดี ก็เลยใช้ชื่อว่า new iPad) ในขณะที่บางคุณสมบัติก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใช้รู้สึกจำเป็นมากนัก ว่าแล้วเรามาดูกันดีกว่าว่า ผู้บริโภค (รวมถึงคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip ด้วย) รู้สึกอย่างไรกับคุณสมบัติต่างๆ ที่มากับ new iPad
ไร้ชื่อเรียก: เอ่อ...ประเด็นนี้ดูจะเป็นอารมณ์มากกว่าเรื่องของคุณสมบัติ แต่แหล่งข่าวบนโลกออนไลน์ก็เปิดประเด็นด้วยเรื่องนี้เยอะพอสมควร เข้าใจว่า Apple จะพยายามหนีจากการตั้งชื่อที่มาพร้อมกับตัวเลขที่บ่งบอกถึงจำนวนรุ่น (มีมากี่รุ่นแล้ว) และความใหม่ (รุ่นที่เท่าไร?) ของผลิตภัณฑ์โมบาย อย่างเช่น iPad 2 บอกปุ๊บรู้ปั๊บว่าเป็นรุ่นไหน ออกเมื่อไร แต่การเรียกว่า The new iPad (iPad รุ่นใหม่) น่าจะสร้างความสับสนได้ในอนาคต เพราะเมื่อเวลาผ่านไป มันคงไม่เหมาะที่จะบอกว่ามันใหม่อีกต่อไป หรือ Apple ต้องการสร้างเซอร์ไพรส์เหมือนครั้ง iPhone 4 แล้วแทนที่จะเป็น iPhone 5 ก็เป็น iPhone 4S (ซึ่งต่างจากการเกิด iPhone 3GS) นอกจากนี้ใครที่เดาชื่อกันมาก่อนหน้านี้ก็ผิดหมดทั้ง iPad 3, iPad 2S หรือ iPad HD แต่ที่ผิดมากกว่า ก็คงเป็นความรู้สึกผิดหวังที่การตั้งชื่อใหม่ของผลิตภัณฑ์ที่ใช้แค่คำว่า"ใหม่"ในชื่อเรียกเท่านั้น
ดูอัลคอร์โพรเซสเซอร์: ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกผิดหวังมากนักกับคุณสมบัตินี้ เพราะ Apple มักจะไม่ทำให้้ผลิตภัณฑ์ที่ออกมามีสเป็กสูงเกินความจำเป็น (เรื่องของการประหยัดพลังงานด้วย) เพียงแต่กระแส Quad-core ที่ออกมาก่อนหน้านี้ทำให้หลายฝ่ายคาดหวังว่า Apple ก็น่าจะเลือกใช้โพรเซสเซอร์สี่แกนด้วยเหมือนกัน (อันนี้เดาไม่ได้ยากว่า Apple จะไม่ทำเช่นนั้น) โดยเฉพาะชื่ออย่าง A6 ที่ออกมาก่อนหน้านั้น แต่แล้วข่าวลือชิ้นหนึ่งที่บอกว่า Apple ใช้ชิปใหม่จริงแต่เป็นเวอร์ชันอัพเกรด A5 นั่นคือ A5X ซึ่งตอบโจทย์ครึ่งเดียวคือ เป็น Quad-Core ในส่วนประมวลผลกราฟิกเท่านั้น ส่วนการประมวลผลอื่นๆ ยังคงเป็นดูอัลคอร์เหมือนเดิม การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับชิปแค่ครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ทำให้ผู้บริโภครู้สึกผิดหวังที่ทำไม Apple ไม่ใช้เป็นชิปควอดคอร์ไปเลย
ไร้เงา Siri: ประเด็นที่ค่อนข้างผิดหวังกันเยอะสำหรับ new iPad ก็คือ การที่มันไม่พาน้อง Siri มาด้วย แต่กลับให้ฟังก์ชัน"พิมพ์ตามเสียงพูด" หรือ Dictation (ไอคอน Mic บนแป้นพิมพ์เสมือน) มาแทน โอเคมันก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย แต่อย่างเทียบความฉลาดของมันกับ Siri นะ คนละเรื่องเลย ได้แต่หวังเล็กๆ ว่า iPad Mini (ข่าวลือเกียวกับ iPad ที่มีขนาดจอ 7.85 นิ้ว ออกปลายปีนี้) Apple จะพาเธอมาอยู่ในนี้ด้วย เจ๋งกว่านั้นคือ ใช้ควอดคอร์โพรเซสเซอร์ เพื่อเติมเต็มความผิดหวังจาก new iPad หรือถ้าจะให้ดี ตอนอัพเดท iOS ก็เพิ่มเข้ามาให้ก็ได้นะ มาช้ายังดีกว่าไม่มา :P
หนาขึ้น และหนักกว่าเดิม (เล็กน้อย): new iPad จะมีความหนาถึง 9.4 มม. เพิ่มขึ้นจาก iPad 2 ที่มีความหนาอยู่ที่ 8.8 มม. หรือหนาขึ้นกว่าเดิม 0.6 มม. ไม่มากไม่มายเท่าไร? แต่ก็รู้สึกได้ เนื่องจากขนาดของตัวเครื่องที่ใหญ่ ซึ่งมันตรงข้ามกับความคาดหวังของผู้ใช้ที่คาดว่ามันน่าจะบางกว่าเดิม หรืออย่างน้อยที่สุดก็เท่าเดิม อย่างไรก็ตาม การสมดุลย์ระหว่างฟังก์ชันกับดีไซน์ ด้วยเทคโนโลยีจอแสดงผลใหม่ล่าสุดที่เพิ่มสองเท่าตัว แลกกับความหนาขึ้นนี้ ก็อาจจะมองว่าคุ้ม และไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะดีไซน์ได้บางขนาดนี้ (ไม่แน่ว่า ถ้าจอบส์ยังอยู่ดีไซน์นี้อาจถูกสั่งให้กลับไปแก้ก็ได้ - -") เรื่องความหนายังพอมีเหตุผล แต่น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 50 กรัมนี่เป็นประเด็นที่หลายคนอาจจะไม่แฮปปี้เท่าไร เพราะความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคคือ การได้ใช้อุปกรณ์โมบายที่เบากว่าเดิม โจทย์ยากจริงๆ นะเนี่ย 
สตอเรจสูงสุดยังเท่าเดิม: เอ่อ...คุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip อาจจะแย้งว่า สตอเรจตั้ง 64GB แล้ว ยังไม่พออีกหรือ? ประเด็นก็คือ Apple เพิ่งจะเปิดตัวแอพฯ อย่าง iPhoto พร้อมทั้งอัพเดท iWork และ iLife (รวมถึง iMovie) ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่า แอพฯพวกนี้สวาปามสตอเรจขนาดไหน ไม่นับรวมความสามารถล่าสุดของกล้องหลังที่สามารถบันทึกวิดีโอฟูลไฮเดฟน 1080p และแน่นอนว่า จอที่สวย และละเอียดสุดๆ อย่าง Retina Display ก็หมายถึงไฟล์ภาพที่ใหญ่ขึ้นด้วย (ต้องรอจนกว่าจะมีแอพฯ ที่ออปติไมซ์ของ iOS ออกมาอีกทีหนึ่ง) จากความต้องการที่มากมายขนาดนี้ new iPad น่าจะมีรุ่น 128GB เพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว คุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip อาจจะแย้งว่า ก็มี iCloud ไงล่ะ เอ่อ...ก็คงต้องเสียค่าบริการเพิ่ม เพื่ออัพเกรด และถ้าคุณเชื่อมต่อเน็ตด้วยความเร็วไม่สูงนักล่ะก็...ไม่อยากนึกเลย
ทั้งหมดข้างบนนี้เป็นแค่บางส่วนของคำบ่นยอดฮิตจากผู้คนบนออนไลน์ที่มีต่อ new iPad ส่วนคุณผู้อ่านจะเห็นด้วย หรือไม่นั้น ก็ว่ากันไป อย่างไรก็ตาม สำหรับใครที่คิดว่า มันยังมีประเด็นอื่นๆ ที่ยังไม่น่าพอใจอยู่อีกด้วย ก็เมนต์กันมาได้เลยนะครับ แต่เชื่อเถอะว่า แม้ new iPad จะไม่มีอะไรใหม่มากมายนัก ก็คงจะแรงไม่แพ้ iPhone 4S ที่โดนเสียงบ่นตอนเปิดตัว แต่ก็เห็นซื้อกันจัง :D

Note 10.1 กับ new iPad ใครเจ๋งกว่ากัน


อย่าเพิ่งเมากับข่าวของ iPad รุ่นใหม่ที่กำลังแพร่สะพัดไปทั่วเน็ตจนลืมคู่แข่งที่รอดู iPad ด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะ Samsung ที่แม้จะยังห่างไกลสำหรับความสำเร็จในตลาดนี้ แต่ก็เป็นคู่แข่งอันดับหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ล่าสุดได้มีการเปรียบมวยสำหรับแท็บเล็ตเรือธงของซัมซุงอย่าง Galaxy Note 10.1 (Galaxy Tab 10.1 เวอร์ชันอัพเกรด + สไตลัส S-pen) กับ new iPad ว่าใครเหนือกว่ากันอย่างไร?
ที่ผ่านมา Samsung จะไฮไลต์ Galaxy Note 10.1 ในประเด็นของส่วนติดต่อผู้ใช้ (UI) โดยเฉพาะหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นจาก Note รุ่นแรก ทำให้ผู้ใช้สามารถเปิดสองแอพฯ เพื่อใช้งานได้พร้อมกัน ซึ่งอันนี้ new iPad ทำไม่ได้ นอกจากนี่เรื่องของการมีสไตลัส S-pen ที่สามารถวาด และเขียนบนหน้าจอได้ราวกับปากกาจริงๆ โดยเฉพาะการตอบรับแรงกด และองศาของการวางปากกาที่ไม่สามารถพบได้ในสไตลัสจอสัมผัสทั่วไป ไม่เพียงเท่านั้น Samsung ยังบอกอีกว่า Note สามารถจัดการแก้ไขภาพถ่ายได้แม่นยำกว่า iPad ก็เพราะด้วย S-pen อีกนั่นแหละ ทั้งนี้ Samsung จะเน้นย้ำเรื่องที่ Galaxy Note 10.1 ให้ผู้ใช้สามารถเปิดแอพฯ ตัวหนึ่งเพื่อจดบันทึก ในขณะที่แอพฯ อีกตัวหนึ่งที่เปิดพร้อมกันไว้ดูคอนเท็นต์ได้ทันที ซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งเดียวที่ iPad ทำไมได้ นอกจากพกสมุดกับปากกาไปด้วย (เหน็บแรงนะเนี่ย)
นอกจากนี้ในตารางการเปรียบเทียบที่จัดทำออกมายังมีการพูดถึงเรื่องของความบาง และเบากว่า ซึ่งแน่นอน เพราะ new iPad หนากกว่า iPad 2 เล็กน้อย ในขณะที่ Galaxy Note 10.1 บางเบากว่า iPad 2 นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติอย่างพอร์ตอินฟราเรดสำหรับควบคุมโฮมเธียเตอร์ และช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ microSD พร้อมพอร์ต USB ที่สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์อินพุตอย่างเมาส์ และคีย์บอร์ดได้ ซึ่งเหล่านี้ new iPad ไม่มีให้เลย เอ่อ...ฟังดูเหมือน Note 10.1 จะชนะหมดทุกเรื่องเลยนะ แต่ข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ระบุไว้ในตารางเปรียบเทียบก็คือ new iPad มาพร้อมกับจอละเอียดสูง Retina Display (2048 x 1536 พิกเซล) และโพรเซสเซอร์กราฟิกควอดคอร์อย่าง A5X ฯลฯ อีกทั้งยังพร้อมเปิดให้จองแล้ว ซึ่ง new iPad จะวางตลาดวันที่ 16 มีนาคม ศกนี้

Facebook Timeline: ใช้ยังไงให้ Happy


ลองมองไปที่ปุ่ม F บนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ของคุณสิว่ามันถูกใช้งานหนักมากจนตัวอักษรเริ่มเลือนลางไปแล้วหรือเปล่า? คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันเว็บที่เราเข้าบ่อยที่สุดอาจจะไม่ได้ Google แล้ว แต่เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง Facebook ที่แทบทุกคนจะต้องมีเอาไว้ใช้ติดต่อสื่อสาร อัพเดตข่าวจากเครือข่ายเพื่อนๆ ที่อยู่บนระบบออนไลน์ และเมื่อคนใช้มีเป็นจำนวนมาก การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้นก็ย่อมส่งผลกระทบมากตามไปด้วย
ล่าสุดหลายๆ คนคงได้เห็นกันไปแล้วกับการเปลี่ยนแปลง Facebook ครั้งใหญ่ กับสิ่งที่เรียกว่า Facebook Timeline ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันก็เหมือนกับการออกแบบหน้า Profile ของผู้ใช้ใหม่ ด้วยคอนเซ็ปต์ของการเรียงลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่บนเส้นชีวิตของคุณตามลำดับเวลาที่เกิดขึ้น ที่สำคัญก็คือมันสามารถย้อนอดีตกลับไปตั้งแต่สมัยคุณเกิดได้เลยทีเดียว
ด้วย Facebook Timeline คุณสามารถจะใส่ชีวิตทั้งชีวิตของคุณลงไปในนั้น เป็นเหมือนบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของคุณตามช่วงเวลาต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ Status, รุปภาพ, วิดีโอ รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกของ Facebook
หลายคนอาจจะถามว่าแล้วข้อมูลส่วนตัวของฉันก่อนที่จะมาเล่น Facebook มาจากไหน คำตอบก็คือคุณต้องเป็นคนอัพโหลดขึ้นไปเอง Facebook ไม่สามารถไปค้นหาประวัติของคุณมาใส่ได้ ซึ่งถ้าทำได้จริงๆ ต้องถือว่าเป็นระบบที่ “โคตรเทพ” และเป็นระบบที่ “โคตรน่ากลัว” เอามากๆ เลยทีเดียวที่สามารถทราบข้อมูลของเราทั้งหมดตั้งแต่เราเกิด (แค่ตอนสมัคร Google+ แล้วมันมีข้อมูลเราหมดเลยไม่ว่าจะเป็นอาชีพ สถานที่ทำงาน โรงเรียน แค่นี้ก็ตกใจจะแย่แล้ว) ดังนั้นเราจึงต้องกรอกข้อมูลงไปเองโดยเรียงตามลำดับเวลา ซึ่งแน่นอนว่า “โกงได้” ไม่ต้องบันทึกตามช่วงเวลาที่เกิดขึ้นจริง ก็แหม… ใครจะไปจำได้ว่าเหตุการณ์ไหนเกิดขึ้นก่อนหลังแบบเป๊ะๆ จริงไหมนะ
หลังจากมีการอัพเกรด Facebook Timeline ให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้งานกันได้แล้ว ก็มีเสียงบ่นกันมาอย่างหน้าหูเลยทีเดียว ซึ่งเสียงส่วนใหญ่นั้นปรากฏว่า “ไม่ชอบ” ครับ ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกอย่างก็ดูเหมือนจะมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่ทำไมคนถึงไม่ชอบ Timeline กันนะ?
 จากที่หาข้อมูลเสียงตอบรับผู้ใช้ในอินเทอร์เน็ต และสอบถามเพื่อนๆ ดูก็พอที่จะสรุปเป็นประเด็นได้หลายๆ เรื่องดังนี้
  • เลย์เอาต์มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ดูยาก โดยเฉพาะการแบ่งข้อมูลออกเป็น 2 ฝั่ง แล้วมีเส้นอะไรไม่รู้มาขั้นกลาง บางโพสต์สั้น บางโพสต์ยาว เวลาเรียงลงมาสองฝั่งแล้วดูยาก (อันนี้เห็นด้วย)
  • รูปเยอะไป สำหรับคนที่เน้นความสวยงามของหน้า Profile ของตัวเอง และตกแต่งไว้อย่างสวยงามแล้ว พอเปลี่ยนมาเป็น Timeline ก็ต้องมานั่งตกแต่งกันใหม่ ต้องหารูปมาทำ Cover Picture กันใหม่อีก ลำบากนะเนี่ยะ
  • ห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัว อย่างที่บอกว่า Facebook สามารถจุข้อมูลของเราได้ตั้งแต่เกิด ดังนั้นถ้าเราใส่ข้อมูลอย่างครบถ้วน คนที่เข้ามาดูแทบจะรู้ชีวิตเราทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ แค่ปกติก็รู้สึกไม่ค่อยมีความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์เท่าไหร่อยู่แล้ว
  • นอกนั้นก็จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นเหนื่อยที่จะต้องอัพข้อมูลต่างๆ ของตัวเองขึ้น (เอ๊ะ ไม่มีใครบางคับซะหน่อย) และอีกส่วนก็บอกว่ามันดูตื่นเต้นในตอนแรก แต่พอดูๆ ไปก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าไหร่นัก
ใช่ครับ ที่พูดมาทุกอันนั้นเป็นเรื่องจริงหมด จริงๆ แล้ว Facebook Timeline นั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษขึ้นเลย แต่นำเอาข้อมูลที่คุณเคยกรอกไว้ใน Facebook มาเรียงร้อยและจัดแสดงออกมาในรูปแบบใหม่เท่านั้นเอง ดังนั้นเรื่องความเป็นส่วนตัวก็ยังคงสามารถกำหนดได้เช่นเดิม ข้อมูลอะไรต้องการให้เพื่อนคนไหนเห็นบ้าง หรือข้อมูลสำคัญๆ ก็ไม่ต้องใส่ไว้ก็ได้ และถึงแม้ว่า Facebook Timeline จะสามารถใส่ข้อมูลได้ตั้งแต่เราเกิด แต่เชื่อเถอะว่าน้อยคนนักที่จะพยายามย้อนกลับไปอัพข้อมูลเก่าๆ ที่อาจจะไม่มีใครสนใจอยู่แล้วด้วยซ้ำ
สิ่งที่บ่นกันมาหากลองมองดูดีๆ มันไม่ได้อยู่ที่ความไม่ได้เรื่องของ Facebook Timeline เลย แต่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะเรา “ไม่ชิน” มากกว่าอย่างเช่นการเสียเวลาต้องมาตกแต่งภาพให้เข้ากับ Layout ใหม่ ยังไงสักวันคุณก็ต้องเบื่อของเก่า เปลี่ยนวันนี้หรือเปลี่ยนอีก 1 ปีข้างหน้าก็คงไม่เดือดร้อนมากนัก แต่เรื่องการวาง Layout ข้อมูลเป็น 2 ฟาก ซึ่งจะเกิดปัญหาในการไล่ดูลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นอันนี้เห็นด้วยว่าลำบากขึ้นจริงๆ แต่ก็คงไม่ได้ยากเกินความสามารถที่จะปรับตัวจริงไหม
จะว่าไปปัญหาของ Facebook Timeline นั้นไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิด เพียงแค่คุณอาจจะยังไม่ชินกับหน้าจอแบบไหน เพราะลิงค์ต่างๆ ได้ถูกย้ายตำแหน่งไปหมดเลย จากที่เคยกดดูข้อมูลของเพื่อน (หรือของแฟน) ว่าไปพูดคุยกับใครใน Facebook ไว้บ้าง แล้วเกิดหาปุ่มที่จะกดดูไม่เจอ แค่นี้ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณเกลียด Facebook Timeline ได้แล้ว อย่างไรก็ตาม Facebook ยังคงต้องมีการพัฒนาต่อไป การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณจะต้องปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ อย่างกลัวกับการเปลี่ยนแปลง

Galaxy S II เล็งอัพเกรด Android 4.0


อีกแค่สองวัน Samsung Galaxy S II ของคุณก็จะได้ร่างทรงองค์ประทับใหม่เป็น Android 4.0 ICS (ลูกผสมระหว่าง Android 2.3 กับ Android 3.0) ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติการทำงานใหม่ๆ มากมาย ภายใต้ Touch Wiz UI ของ Samsung อย่างเช่น การปลดล็อคด้วยใบหน้าเจ้าของ หรือผู้มิสิทธิ์ใช้งานที่เรียกว่า Face Unlock และ Android Beam ที่ใช้เทคโนโลยี NFC (Near Field Communication) ที่ทำให้คุณสามารถแชร์ข้อมูลระหว่างสมาร์ทโฟนด้วยกันแบบไร้สายได้อย่างง่ายดาย หรือแม้แต่การใช้เป็นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีแอพฯ ที่ทาง Samsung ทำเพิ่มเข้าไปด้วย
สำหรับอัพเดท Android 4.0 ICS จะสามารถดาวน์โหลดผ่านไร้สาย Wi-Fi หรือเครือข่ายของโอเปอเรเตอร์ได้โดยตรง (แต่อาจจะช้ากว่า) แต่ถ้าอยากได้เร็วสุดก็ใช้ Kies โปรแกรมบนเดสก์ทอป (คล้ายโปรแกรม iTunes) ของ Samsung ที่คุณสามารถใช้ติดต่อกับอุปกรณ์โมบายของ Samsung ได้อย่างง่ายดาย Android 4.0 Ice Cream Sandwich จะทำให้ Samsung Galaxy S II ของคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip สามารถทำงานแบบมัลติฟังก์ชัน (ทำหลายงานพร้อมกัน) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นบนอินเตอร์เฟซ TouchWiz UI ของ Samsung